ตั้งราคาอย่างไรให้น่าซื้อ?
ราคานับเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อสินค้าของเราเลยก็ว่าได้ ยิ่งด้วยสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน การจะจับจ่ายใช้สอยก็ทำให้ลูกค้าต้องคิดหนัก แต่ข่าวดี คือ ความอยากเป็นเรื่องที่ยากจะต้านทาน ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหนก็ตาม ดูอย่างสินค้าสมาร์ทโฟนของเจ้าตลาดอย่าง Apple ที่ไม่ว่าจะออกรุ่นใหม่ๆ มาในราคาแพงขนาดไหน ก็ขายดีทำลายสถิติทุกครั้ง แล้วอะไรกันที่ทำให้สินค้าขายดิบขายดี? ที่จริงแล้วทั้งหมดอาจเป็นเพียงเรื่องทางจิตวิทยาเท่านั้น
วันนี้เราเลยอยากเอากลยุทธ์การตั้งราคาที่มีผลต่อจิตใจลูกค้า มาฝากคุณพ่อค้าแม่ค้าทุกท่าน ก็คือ
1. ตั้งราคาให้ถูกกว่าที่ลูกค้าคิด หมายความว่าสินค้าของคุณต้อง “ดูแพง” กว่าราคาที่คุณตั้ง ซึ่งการจะทำให้เป็นแบบนั้นได้ คุณอาจต้องอาศัยศิลปะแห่งการถ่ายภาพเข้ามาช่วย เมื่อลูกค้าเห็นภาพถ่ายสินค้าให้ดูดี มีราคา เขาก็จะเดาราคาของสินค้าในใจ (ซึ่งถ้าภาพดูดี เขาก็จะเดาว่าแพง) และอาจตั้งขอบเขตราคาที่จะยอมจ่าย เช่น ถ้าเกิน 500 บาทจะไม่ซื้อ แล้วพอเขาเห็นราคาจริงๆ ว่าต่ำกว่าที่เขาคิด เขาจะยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้านั้น
2. ตั้งราคาให้ลงท้ายด้วยเลข 9 ไม่ว่าจะเป็น 09 หรือ 99 ว่ากันว่าราคานี้มีผลให้ลูกค้ารู้สึกว่าราคานั้น “ถูก” ยิ่งถ้าเป็น 99 บาท แทนที่จะเป็น 100 บาท ลูกค้าจะยิ่งรู้สึกถึงความแตกต่าง เพราะหลักสิบกับหลักหน่วยดูห่างกันมาก ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วราคาต่างกันเพียง 1 บาทเท่านั้น
3. ตั้งราคาขายเป็นเซต ลองนึกถึงเซตอาหารในแม็กโดนัลด์เป็นตัวอย่างประกอบก็ได้ เดี๋ยวนี้คงมีน้อยคนที่จะเลือกสั่งอาหารชิ้นเดียว แทนที่จะสั่งเป็นเซตที่แม้จะมีราคารวมมากกว่า แต่มีราคาต่อชิ้นถูกกว่า แถมยังได้ของมากกว่าอีกด้วย การตั้งราคาเพื่อขายของเป็นเซตแบบนี้ บางทีอาจได้กำไรน้อยกว่าขายแยกชิ้นสักหน่อย แต่รับรองว่าสามารถกระตุ้นยอดขายได้แน่นอน เพราะลูกค้าของคุณจะรู้สึกว่า “คุ้ม” กว่า แม้ตอนแรกจะไม่ได้ต้องการสินค้าหลายชิ้นเลยก็ตาม
และนี่ก็เป็นวิธีง่ายๆ ที่คุณก็สามารถทำได้เพื่อกระตุ้นยอดขายให้ร้านของคุณ อย่าลืมเรื่องตัวเลขเป็นเรื่องละเอียดอ่อน นอกจากการตั้งราคาแล้ว “การรวมราคา” เพื่อส่งให้ลูกค้าก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะตัวเลขที่ผิดถึงแม้จะนิดเดียวก็อาจทำให้เราผิดใจกับลูกค้าได้